และการปกครองเป็นอย่างมาก ผู้คนถูกครอบงำทางความคิด โดยเฉพาะในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 5-10
ถึงกับถูกขนานนามว่า "ยุคมืด" ความรู้สึกนึกคิดส่วนตัวถูกห้ามไม่ให้แสดงออก ทุกสิ่งทุกอย่างต้องทำเพื่ออุทิศแก่ศาสนา
วิทยาการของกรีกและโรมันถูกเก็บซ่อนและลืมเลือนไป ผู้คนอยู่ในภาวะหวาดหวั่นต่อทั้งภัยสงคราม กลุ่มโจร และภัยธรรมชาติ
ภัยพิบัติต่างๆถูกอธิบายว่าเป็นผลมาจากอำนาจมืดไม่ว่าจะเป็นแม่มด หมอผี ปีศาจ รวมถึงสัตว์ร้ายนานาชนิด
ในยุคนี้หลักฐานและข้อมูลเกี่ยวกับสวนไม่ชัดเจนนัก แต่พอจะทราบได้ว่าสวนในเขตสำนักสงฆ์จะเน้นการปลูกพืชผัก
สมุนไพรเพื่อใช้บริโภค รักษาโรค และทำน้ำหอมหรือเครื่องสำอาง เนื่องจากพระจะทำหน้าที่รักษาโรคให้แก่ประชาชนด้วย
พืชพรรณต่างๆจะถูกปลูกอยู่ในแปลงอย่างเรียบร้อย ในลักษณะตารางหรืออยู่ในรูปทรงเรขาคณิต
โดยเฉลี่ยความสูงของสวนจะไม่เกินระดับ 2 ฟุต ดูแบนราบและไม่มีรายละเอียดมากนัก ในระยะหลังๆจึงเริ่มมีการทำไม้ดัด
โดยใช้โครงระแนง ที่น่าสังเกตก็คือศิลปะไม้ตัดแต่ง (Topiary) ที่นิยมในสมัยโรมันได้เลือนหายไป
ในช่วงปลายยุคกลางความเคร่งเครียดในสังคมค่อยๆคลายลง เริ่มมีสวนที่สร้างขึ้นเพื่อความสำราญของเหล่าชนชั้นสูง
มีการพัฒนาตำราด้านการเกษตรและการทำสวนขึ้นมาใหม่ ในสวนเต็มไปด้วยดอกไม้หลากหลายชนิด แสดงให้เห็นความอุดมสมบูรณ์
จากภาพเขียนในยุคนั้นจะเห็นว่าสวนได้กลายเป็นสถานที่เพื่อกิจกรรมนันทนาการ เช่น เล่นกีฬา พบปะสังสรรค์
รวมไปถึงการเป็นสถานที่ส่วนตัวสำหรับคู่รักได้พรอดรักกันจนเป็นที่มาของคำว่า "สวนแห่งความรัก" (Jardin de l' Amour)
อย่างไรก็ดีสวนก็ยังคงถูกปิดล้อมด้วยรั้วสูง ตัดขาดจากโลกภายนอกเพื่อความรู้สึกปลอดภัย การเลือกใช้ต้นไม้ดอกไม้มีการสื่อความหมาย
เป็นสัญลักษณ์ทางศาสนา เช่น ดอกกุหลาบถูกกำหนดให้เป็นตัวแทนของพระแม่มารี เป็นต้น ซึ่งแสดงให้เห็นอิทธิพล
ของศาสนาที่ยังคงมีอยู่ในสังคม
สวนแห่งความรัก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น