ประวัติการจัดสวน

ปัจจุบันสวนมีรูปแบบหลากหลายและมีความสวยงามต่างๆกันไปให้เราเลือกชื่นชมได้ตามรสนิยม แต่เบื้องหลังภาพสวนสวยๆที่เห็น หลายคนอาจจะเคยนึกสงสัยอยู่บ้างว่าสวนเหล่านี้มีที่มาที่ไปเป็นอย่างไร

รูปแบบของสวนที่มีมาในประวัติศาสตร์โลกแยกการศึกษาออกได้สองส่วนใหญ่ๆ คือ สวนแบบตะวันตก และสวนแบบตะวันออกความแตกต่างของการไล่เรียงรูปแบบสวนจากสองซีกโลกนี้ก็คือ สวนแบบตะวันตกจะมีความต่อเนื่องเรียงกันมาตามยุคสมัยและเหตุการณ์แวดล้อมทางประวัติศาสตร์ พัฒนาการและรูปแบบการเปลี่ยนแปลงจะเชื่อมโยงถึงกันเกือบทุกประเทศ เนื่องจากประเทศทางตะวันตกโดยเฉพาะในยุโรปนั้นมีการแลกเปลี่ยนแนวคิดและเทคโนโลยีกันอยู่ตลอดเวลา ส่วนสวนของประเทศทางตะวันออกจะมีความแตกต่างแยกกันไปตามพื้นฐานวัฒนธรรมและวิถีชีวิตที่ต่างกัน การเชื่อมโยงถ่ายทอดแนวคิดให้กันและกัน
ก็มีบ้างแต่ไม่ได้กระจายทั่วถึงกันหมด อย่างไรก็ดีแนวคิดและรูปแบบสวนจากทั้งทางตะวันตกและตะวันออกต่างก็มีอิทธิพลต่อกันและกันอยู่เสมอยากที่จะแยกออกจากกันได้โดยเด็ดขาด

พวกเราชาวภูมิทัศน์

เธ›เธฃเธฐเธงเธฑเธ•เธดเธเธฒเธฃเธˆเธฑเธ”เธชเธงเธ™ (History of Landscaping)

อ้อมกะเพื่อน สาขานวัตกรรมภูมิทัศน์

วันศุกร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2554

สวนบาลี:ความเชื่อ ศรัทธา และความงาม

สวนบาหลีแบบที่มักจะเห็นกันในหนังสือ  จริงๆแล้วเพิ่งจะเริ่มพัฒนามาเมื่อประมาณ 25-30 ปีก่อนนี้เองซึ่งก็คือช่วงที่การท่องเที่ยวเข้าไปมีบทบาทมากขึ้นบนเกาะแห่งนี้  และด้วยศักยภาพในหลายๆด้านซึ่งรวมถึงพื้นฐาน  ทางวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์จึงทำให้เกิดสวนรูปแบบเฉพาะตัวขึ้นมาบนเกาะบาหลีและแพร่กระจายความนิยมไปในประเทศต่างๆโดยรอบด้วยพื้นฐานความเชื่อดั้งเดิมที่เชื่อในวิญญาณและสิ่งศักดิ์สิทธิ  ผสานกับความศรัทธาในศาสนาฮินดูทำให้ชาวบาหลีมีวัฒนธรรม ที่แตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆที่อาศัยในดินแดนแถบนี้  ชาวบาหลีให้ความเคารพและใช้ชีวิตกลมกลืนกับธรรมชาติบ้านเรือนจะอยู่ในกำแพง ภายในวางอาคารล้อมพื้นที่ตรงกลางเป็นคอร์ท (Court)  ซึ่งเป็นที่พบปะและทำกิจกรรมร่วมกันของครอบครัว แต่เดิมพื้นที่ตรงกลางนี้จะถูกทิ้งให้เป็นลานดิน  สวนในบ้านเน้นการปลูกพืชที่นำมาใช้ประโยชน์และรับประทานได้ เช่น มะพร้าว กล้วย เงาะ มะละกอ  รวมถึงไม้ดอกซึ่งสามารถนำไปบูชาเทพเจ้าและเจ้าที่เจ้าทางได้ ดอกไม้มีความสำคัญอย่างมากในวัฒนธรรมของชาวบาหลี  เราจะเห็นการใช้ดอกไม้ประดับตามที่ต่างไปทั่ว แม้กระทั่งบนร่างกายของชาวบาหลีเองที่ได้ชื่อว่ามีความเป็นศิลปินอยู่ในสายเลือดทุกคนเมื่อต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 ชาวตะวันตกเข้ามามีบทบาทต่อรูปแบบศิลปะของชาวบาหลีโดยการนำเอาความคิด และเทคนิคใหม่ๆมาผสมผสานกับศิลปะดั้งเดิมสร้างงานที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว  ผนวกกับความอุดมสมบูรณ์ ทางพรรณไม้บนเกาะแห่งนี้ทำให้เกิดสวนแบบบาหลีอย่างที่เห็นในปัจจุบันขึ้นมาโดยที่สวนยังคงลักษณะของคอร์ท (Courtyard Garden) ตกแต่งด้วยพรรณไม้เมืองร้อน โดยมีดอกไม้ เช่น บัวลั่นทม และชบาตกแต่งอยู่ทั่วไป  งานหินแกะสลักก็เป็นอีกองค์ประกอบหนึ่งที่สำคัญ  เนื่องจากความศรัทธาที่ชาวบาหลีมีต่อ ศานาประกอบกับความมีฝีมือทางศิลป์ทำให้มีการแกะสลักหินเพื่อประดับและตกแต่งวัดวาอารามอยู่เสมอ ทั้งนี้วัสดุที่นำมาแกะนั้นส่วนใหญ่เป็นหินสบู่ผุพังง่ายต้องมีการเปลี่ยนใหม่อยู่เสมอ  รูปแกะสลักเก่าจึงกลายเป็น วัสดุอันมีค่าสำหรับนักจัดสวน นอกจากรูปหินแกะสลักแล้ว  งานศิลปะชนิดอื่นๆ เช่น หม้อ กระถาง ชาม อ่าง ก็ล้วนแต่ถูกนำมาจัดวางในสวนเพื่อแสดงให้เห็นความร่ำรวยทางวัฒนธรรมของเกาะแห่งนี้  โดยส่วนใหญ่ จะเน้นสร้างสวนให้มีเสน่ห์ด้วยบรรยากาศแบบชนบท (Rustic  Charm) นอกจากสวนแบบบ้านชนบทแล้วสวนในวังของบาหลียังแสดงให้เห็นอิทธิพลจากชวาด้วยสวนแบบทางการที่เน้นการใช้รูปทรงเรขาคณิต และการใช้น้ำเพื่อตกแต่งสวน

สวนไทย:บรรยากาศ การีใช้สอย ความเชื่อ



เมื่อพูดถึงสวนไทยหลายๆคนคงจะเริ่มขมวดคิ้วเพราะคิดไม่ออกว่าสวนไทยนั้นเป็นอย่างไร  แต่ถ้าย้อนมองกลับไปที่บ้านเรือนไทยที่ยกใต้ถุนสูงจะเห็นลักษณะของสวนที่ชัดเจนอย่างหนึ่งก็คือ  "สวนกระถาง" บนนอกชาน เจ้าของบ้านมักจะเลือกไม้ผล ไม้ดอก และไม้ใบนานาชนิดมาปลูกลงในกระถางเครื่องเคลือบอันสวยงามเพื่อตั้งอวดให้แขกไปใครมาได้เห็น  พร้อมๆกับสร้างบรรยากาศความรื่นรมย์กับให้บ้าน ไม้ดัดก็เป็นงานศิลปะอีกชิ้นหนึ่งที่มักจะอยู่คู่กับสวนไทยมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย  นอกจากนี้ยังมีอ่างบัว อ่างปลา และนกน้อยในกรงช่วยสร้างความมีชีวิตชีวาให้กับสวนได้ไม่น้อย  รอบๆบ้านมักจะปลูกไม้ใหญ่ให้ร่มเงาสร้างความร่มรื่นให้กับตัวบ้าน พืชพรรณที่นำมาปลูกมักมีจุดประสงค์เพื่อการใช้งานนอกเหนือไปจากความสวยงาม  ไม่ว่าจะเป็นไม้ผล เช่นมะม่วง ขนุน ชมพู่ หรือไม้ที่ให้ประโยชน์สารพัดเช่น มะพร้าว  และกล้วย เป็นต้น สมุนไพรและพืชผักสวนครัวเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่มักจะอยู่คู่กับสวนไทยไม่มีขาดทั้ง ตะไคร้ ขิง ข่า พริก มะกรูด  มะนาว ฯลฯ
บ่อน้ำ  สระน้ำ ไม่ใช่ส่วนประกอบสำคัญของสวนบ้านไทยในอดีต  เนื่องด้วยคนไทยมีชีวิตผูกพันกับสายน้ำอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว  แต่ในปัจจุบันเมื่อชีวิตคนไทยโดยเฉพาะในเมืองห่างไกลจากสายน้ำมากขึ้น  เราจึงเห็นการใช้น้ำในการสร้างบรรยากาศพิเศษให้กับสวนมากขึ้นไม่ว่าจะเป็นสระน้ำน้ำพุ น้ำตก คลอง ฯลฯ การปลูกไม้ไว้เพื่อใช้งานยังคงมีให้เห็นอยู่  แต่อาจจะลดน้อยลงไปบ้างด้วยข้อจำกัดของขนาดที่ดินและเวลาในการดูแล  ไม้ดอกหอมเป็นอีกองค์ประกอบหนึ่งที่มีในสวนไทยมาช้านาน ทั้งเอาไว้ถวายพระ  ไหว้เจ้าที่เจ้าทางและไว้ให้เจ้าของบ้านเองได้ชื่นชม  จะสังเกตได้ว่าแม้ปัจจุบันบ้านส่วนใหญ่จะไม่ได้ยกใต้ถุนสูง ไม้กระถาง อ่างบัว  ไม้ดัดงานประติมากรรมต่างๆ ก็ยังถูกนำมาจัดวางประดับประดาสวนโดยรอบบ้าน  ซึ่งรวมไปถึงสวนในวังและในวัดด้วยเช่นกัน
จุดที่น่าสนใจที่ซ่อนอยู่ในสวนไทยก็คือความเชื่อ  ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของไม้มงคลและไม้ต้องห้าม การปลูกไม้ตามทิศ  หรือความเชื่อเรื่องเจ้าที่ สิ่งศักดิ์สิทธิซึ่งคอยพิทักษ์ปกป้องสถานที่  ความเชื่อเหล่านี้มีผลต่อรูปแบบสวนอยู่พอสมควร ที่เห็นได้ชัดเจนคือ  การตั้งศาลพระภูมิและศาลเจ้าที่จนกลายเป็นองค์ประกอบหนึ่งของสวน  รวมไปถึงการปลูกพืชบางชนิดในตำแหน่งคล้ายๆกัน เช่น นิยมปลูกมะยมและยอไว้หน้าบ้านเนื่องมาจากความเชื่อที่ว่าผู้อยู่อาศัยในบ้านจะมีผู้คนเยินยอ  เป็นที่นิยมชมชอบ ส่วนขนุนปลูกไว้หลังบ้านเพื่อจะได้ มีคนคอยสนับสนุนอยู่ตลอด เป็นต้นส่วนสวนในวังมักจะแสดงออกถึงอิทธิพลจากต่างชาติที่เข้ามาติดต่อกับไทย  ไม่ว่าจะเป็นสวนขวาในสมัยรัชกาลที่สองที่สร้างเขาก่อและขุดสระน้ำอย่างสวนจีน  หรือสวนแบบทางการบริเวณหน้าพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท  ซึ่งทำสนามหญ้าเป็นปาร์แตร์ง่ายๆอย่างอังกฤษผสมกับการปลูกไม้ดัดของไทย  แต่ในวังก็ยังคงมีการปลูกไม้ผลและไม้ดอกเพื่อไว้ใช้งานอย่างในสวนบ้านสามัญชน นอกจากนี้ภายในวังยังมีการวางงานประติมากรรมรูปสัตว์ในเทพนิยายประดับประดาเพื่อสร้างบรรยากาศแห่งสวรรค์ ตามความเชื่อ "เทวราชา" ที่รับมาจากขอม

สวนญี่ปุ่น:ปรัชญากับการค้นหา




ตลอดประวัติศาสตร์อันยาวนานของญี่ปุ่นรูปแบบของสวนมีการเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพสังคมและอิทธิพลจากต่างชาติโดยเฉพาะจากจีนซึ่งบางครั้งผ่านมาทางเกาหลี รวมถึงแนวคิดทางศาสนาพุทธมหายานก็ถูกแสดงออกในศิลปะการจัดสวนอย่างชัดเจน อย่างไรก็ดีด้วยสภาพภูมิประเทศอันเป็นเอกลักษณ์  ผนวกกับความเชื่อในการมีอยู่ของจิตวิญญาณและแนวคิดจากศาสนาชินโตที่เน้นการอยู่ร่วมกับธรรมชาติด้วยความเคารพล้วนแต่มีส่วนสำคัญที่ทำให้สวนญี่ปุ่นมีรูปแบบเฉพาะตัวที่ลุ่มลึกไปด้วยปรัชญายากจะเลียนแบบได้ศาสนาพุทธเข้ามาถึงญี่ปุ่นตั้งแต่คริสต์ศตวรรษแรกพร้อมกับแนวคิดในการสร้างสวนให้เป็นแดนสวรรค์แห่งพระอมิตาดินแดนในอุดมคติแห่งความเป็นอมตะ  แม้จะได้รับอิทธิพลจากจีนแต่ด้วยลักษณะภูมิประเทศที่เป็นเกาะเต็มไปด้วยภูเขาจึงมีข้อจำกัดด้านขนาดของพื้นที่ทำให้สวนญี่ปุ่นมีขนาดย่อมลงมามาก  เน้นการนั่งชมสวนจากในอาคารมากกว่าการลงเดินในสวน องค์ประกอบสำคัญคือสระน้ำและเกาะแก่ง  การเลือกพืชพรรณและองค์ประกอบต่างๆเพื่อเป็นสัญลักษณ์สื่อถึงดินแดนแห่งสรวงสวรรค์ ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 15 เป็นช่วงเวลาแห่งความสับสนวุ่นวายในยุคกลางของญี่ปุ่น พระในศาสนาพุทธนิกายเซนมีบทบาทอย่างมากในการสร้างสวนแบบนามธรรมเพื่อนำทางไปสู่การหลุดพ้น  อันเป็นที่มาของภูมิทัศน์แบบแห้ง (Dry Landscape) ใช้หิน  กรวด และทราย สีขาวและดำ สร้างสวนเพื่อสื่อถึงดินแดนอุดมคติโดยยึดแนวทางการลดทอนรายละเอียดต่างๆจนเหลือแต่แก่นแท้ทั้งของสวนเอง  และของจิตวิญญาณของผู้ที่เข้าไปทำสมาธิในสวน  พื้นที่อันจำกัดจึงไม่ใช่อุปสรรคในการสร้างบรรยากาศแห่งการหลุดพ้น  หากแต่หัวใจของสวนแบบเซนคือการเข้าใจถึงแก่นแท้ขององค์ประกอบที่ซ่อนอยู่ในองค์ประกอบของสวน  สวนแบบเซนที่มีชื่อเสียงอย่างมากคือสวนที่วัดเรียวอันจิ (Ryoan-ji) แห่งเมืองเกียวโต  คาดว่าสร้างครั้งแรกในปี 1430 และปรับปรุงใหม่ในปี 1488 สวนรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าถูกล้อมด้วยกำแพงสองด้านและอีกสองด้านเป็นส่วนของอาคารซึ่งใช้นั่งชมสวนตัวสวนเองสร้างเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของดินแดนในอุดมคติ  ซึ่งมีที่มาจากตำนานเก่าแก่ที่เล่าถึงเกาะแห่งความเป็นอมตะประกอบด้วยพื้นกรวดสีขาวถูกคราดเป็นเส้น  ก้อนหินสิบห้าก้อนถูกจัดวางเป็นห้ากลุ่มมอสและตะไคร่น้ำเป็นสัญลักษณ์ของป่าอันสมบูรณ์สวนน้ำชาเป็นอีกเอกลักษณ์หนึ่งของญี่ปุ่น  ในคริสตศต์วรรษที่ 16  มีการแยกศาลาชงชาออกมาจากตัวบ้านมาไว้ในสวน สวนลักษณะนี้แม้ไม่เกี่ยวข้องโดยตรงนักกับศาสนาแต่มีแนวคิดที่ลึกซึ้งในการจัดระเบียบจิตวิญญาณ  การเข้าถึงสวนจะถูกจัดลำดับขั้นตอนเพื่อชะล้างความฟุ้งซ่านออกจากจิตใจ  ทุกย่างก้าวในสวนน้ำชาจะต้องเต็มไปด้วยสติ เพื่อไม่ให้เหยียบย่ำไปบนพื้นมอสอันบอบบาง  หรือตกจากก้อนหินที่วางเป็นจังหวะอย่างเหมาะเจาะ หยุดพิจารณาตะเกียงหินหรือจังหวะการกระดกของกระบอกไม้ไผ่  เมื่อเดินจนถึงศาลาชงชาผู้ที่ผ่านสวนมาก็จะเต็มเปี่นมไปด้วยสติและสมาธิพร้อมสำหรับพิธีชงชาอันละเอียดอ่อน ความงามของสวนน้ำชาเน้นความเหมาะเจาะพอดี ว่ากันว่าผู้ดูแลสวนจะเก็บกวาดใบไม้โดยเหลือทิ้งไว้บ้างตามทางเดินเพื่อให้ได้บรรยากาศตามธรรมชาติที่จะต้องมีใบไม้ร่วงอยู่ตามพื้นบ้านในคริสต์ศตวรรษที่ 17 ตรงกับสมัย  เอโดะ (Edo) มีการพัฒนาสวนขึ้นอีกรูปแบบหนึ่งที่ใช้สำหรับเดินชม  (Stroll Garden) องค์ประกอบของสวนยังคงแสดงออกถึงบรรยากาศของดินแดนอมตะในอุดมคติ  แต่มีการกำหนดแนวทางเดินและสร้างจุดสนใจเป็นระยะเพื่อให้เกิดความรื่นรมย์ในการเดินชื่นชมความงามของแดนสวรรค์บนดินลักษณะที่น่าสนใจขององค์ประกอบทางธรรมชาติถูกดึงออกมาให้เห็นอย่างกลมกลืน  แสดงให้เห็นความละเอียดอ่อนของชาวญี่ปุ่นที่ทั้งเข้าใจและเคารพในธรรมชาติ

สวนจีน:ธรรมชาติกับภาพเขียน

ลัทธิเต๋าซึ่งว่าด้วยแนวทางของการดำเนินชีวิต  กล่าวถึงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับธรรมชาติ โดยเน้นที่การสร้างสมดุลเป็นปรัชญาพื้นฐานที่สอดแทรกอยู่ในวิถีชีวิตของชาวจีน  อันส่งผลต่อรูปลักษณ์ของงานศิลปะแขนงต่างๆโดยเฉพาะในภาพเขียนและการจัดสวน  ลักษณะของภาพเขียนจีนและสวนมีลักษณะร่วมกันหลายประการ คือเป็นการสร้างสภาพภูมิทัศน์ธรรมชาติในอุดมคติ (Ideal Natural Landscape) เป็นภาพของสถานที่อันสวยงามเป็นอมตะ (Immortal Land) โดยใช้แรงบันดาลใจจากสภาพธรรมชาติอันงดงามของจีน  เลือกที่จะดึงลักษณะบางประการมาแสดง  มีการเว้นว่างพื้นขาวหรือเว้นกำแพงขาวไว้เพื่อให้ผู้ชมต่อเติมจินตนาการเอง เหมือนกับธรรมชาติที่มีเขาสูงชันสลับซับซ้อนโดยมีบางส่วนถูกบดบังไปด้วยหมอกขาว  ดังนั้นสวนจีนจึงมีภาพที่แตกต่างกันไปตามแต่จินตนาการของผู้ชมอันเป็นเสน่ห์เฉพาะตัวของสวนจีน
กำเนิดสวนจีนนั้นนับถอยหลังไปได้ก่อนคริสตกาล  เริ่มแรกสวนถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ล่าสัตว์ขององค์จักรพรรดิ์และถูกใช้เป็นสัญลักษณ์แสดงอำนาจโดยใช้เป็นสถานที่จำลองของระบบจักรวาลโดยมีจักรพรรดิเป็นศูนย์กลางรวมถึงเป็นที่สะสมพรรณไม้ สัตว์ และศิลปะจากต่างแดน  ส่วนสวนส่วนตัวของบรรดานักปราชญ์และผู้มีอันจะกินนั้นสร้างขึ้นโดยมีจุดประสงค์เพื่อดึงธรรมชาติมาใกล้ตัวให้เข้าถึงได้ง่าย  โดยยึดแนวคิดของดินแดนอมตะในอุดมคติเป็นหลักซึ่งแสดงให้เห็นด้วยการเลือกใช้องค์ประกอบต่างๆ ได้แก่  ใช้ไม้ไม่ผลัดใบให้เขียวตลอดเวลา ใช้ไม้ดอกสร้างสีสันพร้อมสื่อความหมายของวงจรชีวิตที่มีเกิดมีดับ ใช้พืชสัญลักษณ์ เช่น  บัวซึ่งเชื่อมโยงถึงหลักธรรมในพุทธศาสนาและไผ่ที่หมายถึงความยืนยาว และมิตรภาพ เป็นต้น  เน้นการใช้หินและน้ำเพื่อสร้างความสมดุล หยิน-หยางสวนจะถูกแบ่งเป็นห้องๆทำให้เกิดความลึกลับน่าค้นหา  แต่ละห้องจะมีประตูทางเข้าเป็นรูปต่างๆที่เห็นได้บ่อยจะเป็นรูปวงกลมหรือที่เรียกกันว่า "มูนเกต" (Moon  Gate) แต่ละห้องกั้นด้วยกำแพงสีขาวปิดกั้นสิ่งรบกวนจากภายนอกกำแพงขาวจึงกลายเป็นพื้นภาพที่เปิดโอกาสให้ผู้ชมได้จินตนาการต่อเอง  เหนือประตูทางเข้าแต่ละสวนจะมีป้ายบอกชื่อของสวนนั้นให้ทราบว่าผู้ออกแบบต้องการจะสื่ออะไรแก่ผู้ชม  ในสวนจีนมักจะมีการกำหนดจุดสำหรับชมสวนไว้โดยเฉพาะเช่น ศาลา สะพาน เก๋งจีน เป็นต้น  ทางเดินจะถูกกำหนดไว้แล้วและมักจะเป็นเส้นตรงซิกแซกไปมาทำให้รู้สึกว่าสวนมีขนาดกว้างใหญ่เกินจริง  เส้นซิกแซกทำให้มุมมองขณะเดินหักเหเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆไม่ซ้ำซากจำเจช่วยทำให้สวนมีเสน่ห์น่าค้นหา

สวนอเมริกัน

ทางสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18 เป็นต้นมา  เมื่อประชาธิปไตยและการพัฒนาทางอุตสาหกรรมได้กลายเป็นพื้นฐานใหม่ในสังคมสิ่งที่ตามมาก็คือสวนสาธารณะ ในยุคแรกเกิดจากการที่ชนชั้นสูงในยุโรปถูกกดดันจากชนชั้นแรงงานจนต้องสละสวนส่วนตัวให้เป็นสวนสาธารณะสำหรับลดความตึงเครียดในสังคมเมืองที่แออัด ต่อมาได้มีการกำหนดให้สวนสาธารณะเป็นส่วนประกอบที่สำคัญ
ของเมือง และมีการออกแบบให้เหมาะกับการใช้สอย  อย่างไรก็ดีสวนในยุคแรกยังคงยึดรูปแบบสวนอังกฤษที่พยายามเลียนแบบธรรมชาติและสร้างบรรยากาสโรแมนติก ในปี 1860 มหานครนิวยอร์คได้จัดสร้างสวนสาธารณะขนาดใหญ่ขึ้น ผู้ชนะการประกวดแบบได้แก่ นายเฟรเดอริค ลอว์  โอล์มสเต็ด (Frederic Law Olmsted)โดยพยายามผสานรูปแบบสวนอังกฤษกับการกำหนดพื้นที่ใช้งานสำหรับผู้เข้ามาใช้สวนกลุ่มต่างๆ  แทนที่สวนแบบเดิมที่เน้นแต่การปลูกต้นไม้และเว้นที่ว่างทำสนามหญ้า เช่น  การออกแบบสนามเด็กเล่น จัดทางเดินสำหรับจ็อกกิ้ง แยกต่างหากจากทางรถวิ่ง เป็นต้น  หลังจากสวนสาธารณะแห่งนี้ประสบความสำเร็จเมืองต่างๆทั่วโลกก็ให้ความสำคัญกับสวนสาธารณะมากขึ้น

สวนอังกฤษ

ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 18 ในอังกฤษเกิดการเปลี่ยนแปลงของรูปแบบสวนเป็นอย่างมาก    เชื่อกันว่าเป็นผลมาจากการออกล่าอาณานิคมและทำการค้ากับประเทศทางตะวันออกโดยเฉพาะจีน    การจำลองธรรมชาติเข้ามาไว้ในสวนบวกกับความชอบใช้ชีวิตในชนบทของชาวอังกฤษก่อให้เกิดแนวคิดใหม่ในการออกแบบสวนยุโรป    ลบล้างสวนแบบเป็นทางการที่เน้นการใช้รูปทรงเรขาคณิตและเส้นตรง    มาเป็นการใช้รูปทรงอิสระ และเส้นสายคดโค้งนักออกแบบสวนมีการตีความของลักษณะแบบ "ธรรมชาติ"    ไปต่างๆกัน แต่โดยรวมๆจะเน้นการทำสนามหญ้าทำเนิน ปลูกต้นไม้เป็นกลุ่ม และสร้างให้เกิดบรรยากาศแบบโรแมนติค    ชวนฝัน การจัดองค์ประกอบของสวนทำเหมือนกับการวาดภาพทิวทัศน์ หรือที่เรียกว่า "Picturesque    Garden" โดยจะต้องกำหนดจุดที่ตั้งใจให้ชมสวน เช่น บริเวณระเบียง ศาลา หรือจากหน้าต่างห้องใดห้องหนึ่ง    ภาพที่มองจากจุดที่กำหนดจะประกอบด้วยฉากหน้า (Fore Ground) จุดสนใจ (Focal    Point) และฉากหลัง (Back Ground) ตัวจุดสนใจมักเป็นสิ่งก่อสร้างหรืออาคารเล็กๆ รูปแบบขึ้นอยู่กับบรรยากาศของสวนที่ต้องการ เช่น    บรรยากาศแบบอะคาเดียน (เมืองชนบทของกรีกที่ร่ำลือว่างดงาม)จุดสนใจมักจะเป็นศาลา หรืออาคารแบบกรีก    มีการเลี้ยงปศุสัตว์ปล่อยให้เดินไปตามทุ่งเพื่อเน้นความเป็นชนบทหรือถ้าเป็นบรรยากาศแบบแฟนตาซี    ก็จะเห็นการใช้สิ่งก่อสร้างที่ทำเหมือนซากปรักหักพัง หรือบ้านในชนบท หรือแม้กระทั่งสิ่งก่อสร้างของต่างแดน เช่น ปิรามิด เก๋งจีน    ถ้ำหรือกร็อตโตแบบโรมัน เป็นต้น
สวนอังกฤษจัดองค์ประกอบแบบภาพเขียน นิยมบรรยากาศแบบโรแมนติก
หลังการปฏิวัติอุตสาหกรรมและการเปลี่ยนแปลงเข้าสู่สังคมประชาธิปไตยในหลายๆประเทศ    ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหลายๆอย่างที่สะท้อนออกมาทางรูปแบบสวน    ที่เห็นได้ชัดประการแรกคือเรื่องของพรรณไม้ที่มีการโยกย้ายถิ่นฐานข้ามถิ่นกันอย่างมาก นอกจากนี้ยังมีการผลิตและขายต้นไม้ในระบบอุตสาหกรรมคือผลิตต้นไม้แต่ละชนิดและขนย้ายขายกันทีละมากๆชนิดที่เป็นที่นิยมจะกระจายไปทุกหนแห่ง    และด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและวัสดุ เช่น การผลิตเหล็กและกระจกที่มีคุณภาพสูงขึ้นสามรถสร้างเรือนกระจกขนาดใหญ่    ทำให้ปลูกพืชที่มาจากภูมิประเทศและภูมิอากาศที่แตกต่างกันได้
เช่น สามารถปลูกไม้ทะเลทรายในเมืองที่มีอากาศร้อนชื้น    หรือปลูกพืชจากป่าชื้นเขตร้อนในที่ที่มีอากาศหนาวเย็นได้ เป็นต้น

แนวคิดของนักออกแบบสวนก็มีหลากหลายต่างกันไป    บางคนพยายามนำรูปแบบสวนในอดีตกลับมาใช้ใหม่ บางคนพยายามเสนอรูปแบบใหม่ๆ เช่น สวนแบบ "การ์เดนเนส" Gardenesque"    ซึ่งเน้นการแสดงพืชพรรณอันหลากหลายในสวน โดยจัดแสดงพืชแต่ละชนิดให้เห็นอย่างชัดเจน สวนแบบวิคทอเรียน    (Victorian Garden)นำรูปแบบสวนแบบเรอเนสซองส์มาใช้โดยเน้นการใช้รูปทรงเรขาคณิตเป็นแปลงปลูกพืช    แต่เน้นการใช้ไม้ดอกมากกว่าไม้ไม่ผลัดใบส่วนสวนในช่วง อาร์ต แอนด์ คราฟต์ มูฟเม้นต์ (Arts and    Crafts Movement) ซึ่งมีกลุ่มศิลปินแขนงต่างๆออกมาแสดงแนวคิดต่อต้านรูปแบบการผลิตแบบอุตสาหกรรมก็เป็นอีกรูปแบบหนึ่งที่น่าสนใจ    เช่น สวนของโมเนต์ที่ เมือง จิแวร์นี (Giverny)
ลักษณะเป็นการปลูกไม้ดอกหลายๆชนิดปะปนกันในแปลง    อยู่กับบ้านพักแบบชนบท ส่วนหนึ่งของสวนโมเนต์ทำเป็นบ่อบัวปลูกไผ่และหลิวริมน้ำซึ่งได้แรงบันดาลใจจากสวนจีน    สวนแห่งนี้เป็นต้นแบบให้กับรูปเขียนของศิลปินผู้นี้หลายชิ้นทีเดียว



สวนของโมเนต์

สวนฝรั่งเศส บาโรค



พัฒนาการของสวนดูเหมือนจะแยกออกจากเรื่องการเมืองการปกครองและวิถีชีวิตของชนชั้นสูงได้ยาก
โดยเฉพาะสวนในฝรั่งเศสซึ่งนำเข้ารูปแบบสวนอิตาลีและนักจัดสวนมาพร้อมๆกับการสมรสของราชวงศ์ฝรั่งเศสกับสมาชิกในตระกูลเมดิชิ    สวนในฝรั่งเศสได้รับการพัฒนามาเรื่อยๆจนถึงจุดพลิกผันที่สำคัญในยุคของพระเจ้าหลุยส์ที่สิบสี่ (Louis XIV)
 เสนาธิการกระทรวงการคลังผู้มีหน้าที่ดูแลทรัพย์สมบัติของพระเจ้าหลุยส์นามว่า    "ฟูเกต์" (Fouquet)ผู้มีรสนิยมอันเลิศวิไลได้มอบหมายให้ "เลอ โนตร์" (La    Notre) ทำการออกแบบและสร้างสวนให้กับปราสาท "โว เลอ วิ กงต์" (Vaux le Vicomte) ซึ่งตั้งอยู่นอกเมืองปารีส เลอ โนตร์ จัดการแปรสภาพพื้นที่โดยกำหนดให้ตัวอาคารเป็นเพียงองค์ประกอบหนึ่งของสวนทั้งหมด    สร้างแนวแกนสมมาตรจากตัวปราสาทเปิดแนวเส้นสายตาให้คล้ายกับว่าสวนไม่มีที่สิ้นสุด    โดยมีรูปสลักขนาดใหญ่เป็นจุดหยุดสายตาในสวนตกแต่งด้วยงานประติมากรรม ไม้ตัดแต่ง สระน้ำ และน้ำพุ    อย่างสวยงามสร้างความภาคภูมิใจให้กับฟูเกต์ผู้เป็นเจ้าของสถานที่อย่างมากถึงกับจัดงานฉลองอันหรูเริดเพื่อเปิดปราสาทให้พระเจ้าหลุยส์และแขกผู้มีเกียรติได้เข้าชม    หลังงานเลี้ยงไม่นานพระเจ้าหลุยส์ได้สั่งคุมขังฟูเกต์ตลอดชีวิตเนื่องด้วยไม่พอพระทัยในความหรูหราเกินหน้าเกินตา    และที่สำคัญทรัพย์สมบัติอันมากมายเหล่านั้นมีแหล่งที่มาที่น่าสงสัยเป็นอย่างยิ่ง    เพราะนายฟูเกต์เป็นผู้มีหน้าที่ดูแลพระคลังของพระองค์นั่นเอง

 











จากปราสาท โว เลอ วิ กงต์ พระเจ้าหลุยส์ได้มอบหมายให้ เลอ โนตร์    มาออกแบบสวนแก่พระองค์ โดยให้ทำการพัฒนา ที่ประทับที่ใช้เมื่อออกล่าสัตว์ในเมือง "แวร์ซาย"    ซึ่งอยู่ไม่ไกลนักจากปารีส อันเป็นที่มาแห่งสวนและพระราชวังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในยุโรป "ชาโต เดอ แวร์ซาย" (Chateau    de Versailles) สวนแห่งแวร์ซายกลายเป็นสัญลักษณ์หนึ่งของฝรั่งเศส และเป็นสถานที่ที่นักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกต้องเดินทางไปเพื่อเข้าชม    ณ สถานที่แห่งนี้พระเจ้าหลุยส์กำหนดให้เลอ โนตร์    ออกแบบสวนเพื่อแสดงพระราชานุภาพโดยเชื่อว่าพระองค์เองเป็นสุริยกษัตริย์ (The    Sun King)เลอโนตร์ยังคงสร้างแกนหลักพุ่งจากตัวปราสาท    เปิดมุมมองสายตาให้ยาวไกลไม่มีที่สิ้นสุด บนแนวแกนวางบ่อน้ำพุโดยมีกลุ่มประติมากรรมรูปสุริยเทพและรถม้าวางต่อเนื่องกับสนามหญ้าขนาดใหญ่    ต่อด้วยคลองยาวไปจนสุดสายตาปลูกต้นไม้เป็นกลุ่มก้อนและควบคุมแนวเพื่อเน้นให้เกิดแกนที่ต้องการอย่างชัดเจน    มีการตัดแนวแกนแนวตั้งฉากกับแกนหลักเป็นระยะๆเพื่อนำไปสู่สวนส่วนอื่นๆที่ถูกซ่อนไว้ในกลุ่มต้นไม้    โดยรอบอาคารจัดเป็นสวนแบบทางการและทำปาร์แตร์ ซึ่งก็คือการปลูกต้นไม้และดอกไม้เป็นลวดลายสวยงามคล้ายพรมให้มองเห็นจากบนตึก นำปาล์ม ส้ม    และไม้เมืองร้อนมาปลูกนกระถางวางเรียงเป็นแนวตารางประดับบริเวณด้านข้างปราสาท แสดงอำนาจที่สามารถฝืนธรรมชาติได้    ต้นไม้เหล่านี้จะถูกยกเก็บในอาคารช่วงฤดูหนาว
งานประติมากรรมรูปเทพเจ้าและสัตว์ในเทพนิยายซึ่งเต็มไปด้วยการแสดงออกทางอารมณ์ ผนวกกับการสร้างสรรค์น้ำพุกว่า 1400 จุด    ทำให้สวนแห่งนี้เต็มไปด้วยสีสันและบรรยากาศแห่งจินตนาการที่เชื่อมโยงไปถึงสวรรค์ที่ประทับของสุริยเทพ    น้ำพุจำนวนมากเหล่านี้มากเสียจนไม่สามารถเปิดได้พร้อมกันทั้งหมดต้องมีผู้ดูแลคอยเปิดปิดสลับสับเปลี่ยนไล่ตามขบวนชมสวนของพระเจ้าหลุยส์    ในกลุ่มต้นไม้ใหญ่มีการตัดทาง (Allee)เป็นแฉกๆ    แยกจากจุดต่างๆเชื่อมถึงกันซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของสวนฝรั่งเศสเรียกการตัดทาง แบบนี้ว่า "เท้าห่าน" (Goose Foot หรือ Patte d' Oie)
ความกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ต้นไม้ที่ถูกบังคับทิศทางและรูปทรง    ผนวกกับน้ำพุอันตระการตาที่มีรูปประติมากรรมอันงดงาม สร้างให้สวนแห่งนี้เป็นเครื่องมือแสดงพลังอำนาจทางการปกครองของผู้ทรงพลานุภาพยิ่งใหญ่เหนือใครที่แม้กระทั่งธรรมชาติยังต้องยอมสยบให้ จากความยิ่งใหญ่ดังกล่าวทำให้อิทธิพลของสวนแห่งแวร์ซายแผ่กระจายไปทั่วยุโรป
 

สวนอิตาลี เรเนสซองส์

ถ้าแปลตามตัวในภาษาฝรั่งเศสคำว่าเรเนสซองส์ (Renaissance) แปลว่าการเกิดใหม่ ซึ่งในที่นี้หมายถึงการเกิดใหม่อีกครั้งหนึ่ง
        ของศิลปะและวิทยาการแขนงต่างๆของยุคคลาสสิคหรือยุคกรีกและโรมันนั่นเอง    หลังจากถูกครอบงำทางความคิดด้วยอำนาจ
        ของศาสนจักรมาเป็นเวลานานในช่วงยุคกลาง    ชาวยุโรปเริ่มหันมาแสวงหาความรู้ด้านต่างๆโดยยึดเหตุและผลเป็นหลัก
        ไม่ใช่การกระทำเพื่ออุทิศให้แก่พระเจ้าเพียงอย่างเดียว    ผู้คนหันกลับไปสนใจและเห็นคุณค่าของศิลปะและวิทยาการต่างๆ
        ของกรีกและโรมันอีกครั้ง    โดยมีจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงอยู่ที่อิตาลี กลุ่มข้าราชการชั้นสูงและผู้มีฐานะก็ให้ความสนับสนุน
        อุปถัมภ์การสร้างสรรค์งานศิลปะ โดยเฉพาะสมาชิกในตระกูลเมดิชิ (Medici)    ซึ่งเป็นตระกูลพ่อค้าที่มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริม
        ให้ศิลปินหลายคนได้สร้างผลงานชิ้นเอกขึ้นมา
     
เมื่อผู้คนเริ่มหันมาแสวงหาความสุขในความเป็นมนุษย์ กลุ่มชนชั้นสูงจึงเริ่มนำแนวคิดการสร้างบ้านพักตากอากาศนอกเมืองกลับมาใช้อีกครั้ง
        วิลล่ายุคนี้นิยมสร้างบนเขาเพื่อให้ได้ทิวทัศน์อันสวยงามแปลกตา    สวนยังคงถูกล้อมอยู่ในกำแพง แต่ด้วยความต่างระดับของผืนดิน
        ทำให้สามารถชื่นชมธรรมชาติของพื้นที่โดยรอบได้ไกลเกินแนวเขตที่ดินออกไป    ลักษณะสวนยังเน้นการใช้รูปทรงเรขาคณิต
        การสร้างแนวแกนสมมาตรเป็นสวนแบบทางการ    ศิลปะไม้ตัดแต่งถูกนำกลับมาใช้อีกครั้งหนึ่ง เน้นการใช้พรรณไม้ที่ไม่ผลัดใบ
        เช่น ไม้จำพวกสน เป็นต้น    งานประติมากรรมคลาสสิคของโรมันถูกนำมาวางประดับประดาสวนจนกลายเป็นส่วนประกอบสำคัญ
        ที่ขาดหายไปไม่ได้    แม้ในเวลาต่อมางานของโรมันแท้ๆจะมีไม่เพียงพอก็มีการสร้างงานเลียนแบบขึ้นมาใช้
        การตัดแต่งต้นไม้ให้เป็นเขาวงกตก็เป็นอีกองค์ประกอบหนึ่งที่นิยมในสมัยนี้เช่นกัน
     
เมื่อศิลปินนักจัดสวนได้พัฒนาความคิดขึ้นเรื่อยๆจินตนาการที่ยึดถือในเหตุและผลเป็นหลัก    ก็เริ่มขยายขอบเขตออกไปเหนือจริง
        มากขึ้นจนเข้าสู่ยุคของสวนบาโรค (Baroque) ยุคนี้สวนอิตาลีเองจะเห็นความหลากหลายและลูกเล่นในการใช้น้ำรูปแบบต่างๆ
        งานประติมากรรม และการใช้หินประดับสวน    เน้นการสร้างรายละเอียดและการแสดงออกทางอารมณ์ที่มากเกินปกติ
        ทำให้ผู้พบเห็นเกิดอารมณ์ร่วมได้อย่างรวดเร็วและรุนแรง    รูปแบบสวนอิตาลีแผ่อิทธิพลไปสู่ประเทศอื่นๆทั่วทั้งยุโรป
        และเป็นจุดเริ่มต้นในการพัฒนาสวนฝรั่งเศสอันยิ่งใหญ่ในศตวรรษต่อมา
     
สวนในวิลล่า เดสเต้ แห่งทิโวลี (Villa d'Este at Tivoli) และ วิลล่า ลานเต้ แห่ง    บากเนีย (Villa Lante at Bagnaia)
        เป็นตัวอย่างที่ดีของสวนอิตาลี โดยเฉพาะการสร้างงานศิลปะจากหิน    และการดึงประโยชน์จากพลังของน้ำเพื่อสร้างลูกเล่นต่างๆ
        ทำให้เกิดความตื่นตาและประทับใจแก่ผู้พบเห็น

สวนยุโรปกลาง

เมื่ออาณาจักรโรมันตะวันตกเสื่อมอำนาจลง    เกิดความวุ่นวายไปทั่วยุโรป ศาสนาคริสต์เข้ามามีบทบาทต่อสังคม การเมือง
        และการปกครองเป็นอย่างมาก ผู้คนถูกครอบงำทางความคิด    โดยเฉพาะในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 5-10
        ถึงกับถูกขนานนามว่า "ยุคมืด"    ความรู้สึกนึกคิดส่วนตัวถูกห้ามไม่ให้แสดงออก    ทุกสิ่งทุกอย่างต้องทำเพื่ออุทิศแก่ศาสนา
        วิทยาการของกรีกและโรมันถูกเก็บซ่อนและลืมเลือนไป    ผู้คนอยู่ในภาวะหวาดหวั่นต่อทั้งภัยสงคราม กลุ่มโจร และภัยธรรมชาติ
        ภัยพิบัติต่างๆถูกอธิบายว่าเป็นผลมาจากอำนาจมืดไม่ว่าจะเป็นแม่มด    หมอผี ปีศาจ รวมถึงสัตว์ร้ายนานาชนิด
        ในยุคนี้หลักฐานและข้อมูลเกี่ยวกับสวนไม่ชัดเจนนัก    แต่พอจะทราบได้ว่าสวนในเขตสำนักสงฆ์จะเน้นการปลูกพืชผัก
        สมุนไพรเพื่อใช้บริโภค รักษาโรค และทำน้ำหอมหรือเครื่องสำอาง    เนื่องจากพระจะทำหน้าที่รักษาโรคให้แก่ประชาชนด้วย
        พืชพรรณต่างๆจะถูกปลูกอยู่ในแปลงอย่างเรียบร้อย    ในลักษณะตารางหรืออยู่ในรูปทรงเรขาคณิต
        โดยเฉลี่ยความสูงของสวนจะไม่เกินระดับ 2 ฟุต    ดูแบนราบและไม่มีรายละเอียดมากนัก ในระยะหลังๆจึงเริ่มมีการทำไม้ดัด
        โดยใช้โครงระแนง ที่น่าสังเกตก็คือศิลปะไม้ตัดแต่ง (Topiary)    ที่นิยมในสมัยโรมันได้เลือนหายไป

ในช่วงปลายยุคกลางความเคร่งเครียดในสังคมค่อยๆคลายลง    เริ่มมีสวนที่สร้างขึ้นเพื่อความสำราญของเหล่าชนชั้นสูง
        มีการพัฒนาตำราด้านการเกษตรและการทำสวนขึ้นมาใหม่    ในสวนเต็มไปด้วยดอกไม้หลากหลายชนิด แสดงให้เห็นความอุดมสมบูรณ์
        จากภาพเขียนในยุคนั้นจะเห็นว่าสวนได้กลายเป็นสถานที่เพื่อกิจกรรมนันทนาการ    เช่น เล่นกีฬา พบปะสังสรรค์
        รวมไปถึงการเป็นสถานที่ส่วนตัวสำหรับคู่รักได้พรอดรักกันจนเป็นที่มาของคำว่า    "สวนแห่งความรัก" (Jardin de l' Amour)
        อย่างไรก็ดีสวนก็ยังคงถูกปิดล้อมด้วยรั้วสูง    ตัดขาดจากโลกภายนอกเพื่อความรู้สึกปลอดภัย การเลือกใช้ต้นไม้ดอกไม้มีการสื่อความหมาย
        เป็นสัญลักษณ์ทางศาสนา เช่น    ดอกกุหลาบถูกกำหนดให้เป็นตัวแทนของพระแม่มารี เป็นต้น ซึ่งแสดงให้เห็นอิทธิพล
        ของศาสนาที่ยังคงมีอยู่ในสังคม
สวนแห่งความรัก

สวนมัวริชสเปน

คริสต์ศตวรรษที่ 8    กองทัพมุสลิมได้เข้ายึดครองดินแดนสเปน    ด้วยระยะทางที่ไกลจากศูนย์กลางวัฒนธรรมอิสลาม
        ผนวกกับสภาพภูมิประเทศของสเปนมีลักษณะเป็นเนินเขาสูงๆต่ำๆต่างจากที่ราบทะเลทราย    ชาวมัวร์ (ชาวอาหรับในสเปน)
        ได้ก่อตั้งราชวงศ์และสร้างสังคมใหม่ขึ้นบนพื้นฐานที่ผู้มีอำนาจบนดินแดนแถบนี้ในยุคก่อนๆได้ทิ้งไว้    รวมถึงรูปแบบสวนที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
     
สวนในบ้านแบบโรมันถูกนำมาปรับใช้    คือสร้างให้สวนเป็นจุดสนใจในบ้าน เรียกบริเวณสวนนี้ว่า "ปาติโอ" (Patio)
        ซึ่งเป็นเสมือนห้องๆหนึ่งของบ้านเลยทีเดียว    บ้านบางหลังอาจจะมีสวนหลายๆห้องเพื่อสร้างบรรยากาศอันหลากหลาย
        ให้กับผู้อยู่อาศัย จุดเด่นของสวนสเปนคือ    การเชื่อมต่อพื้นที่ภายในอาคารกับพื้นที่สวนภายนอกได้อย่างแนบแน่น
        เน้นการใช้น้ำซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์ และการมีชีวิต    เลือกใช้พืชพรรณที่มีสีสันและกลิ่นหอมโดยเฉพาะพืชตระกูลส้ม
        ดังจะเห็นตัวอย่างได้จากสวนแห่ง "อัลฮัมบรา" (Alhambra)    และ "เจเนอราลิฟ" (Genaralife) สองพระราชวังแห่งเมืองเกรนาดา    (Granada)
        ซึ่งถูกจัดอยู่ในอันดับต้นๆของรายชื่อสวนที่งดงามและน่ารักที่สุดในโลก    สวนจะถูกล้อมอยู่ในคอร์ท (พื้นที่เปิดโล่งในอาคาร) แยกเป็นห้องๆ
        โดยจัดให้มีบรรยากาศต่างๆกัน    ทำให้สถานที่ทั้งสองแห่งนี้มีเสน่ห์อย่างหาที่เปรียบได้ยาก    ในสวนทั้งสองแห่งนี้ผู้ออกแบบยังคง
        ให้ความสำคัญกับน้ำเช่นเดียวกับสวนอิสลามแห่งอื่นๆ    น้ำถูกนำมาใช้ในหลายรูปแบบทั้งบ่อน้ำนิ่ง คลอง และน้ำพุ เพื่อสร้างบรรยากาศ
        ให้แตกต่างกัน ความชุ่มชื้นจากน้ำและเสียงน้ำไหลรินๆ    ช่วยให้ความเย็นทั้งทางกายภาพและทางจิตใจ เช่น ที่อัลฮัมบรา
        สวนใน "คอร์ท ออฟ เดอะ ไลออนส์ " (Court of the    Lions) ถูกแบ่งเป็นสี่ส่วนด้วยทางน้ำไหลเล็กๆตามรูปแบบของชาฮา-บัก
        ซึ่งทางน้ำนี้ไหลต่อออกมาจากภายในอาคาร    ทำให้เกิดความต่อเนื่องระหว่างพื้นที่ภายในและภายนอก    ตรงกลางมีบ่อน้ำพุซึ่งมีสิงโต
        รองรับอยู่ที่ฐานอันเป็นที่มาของสวนส่วนนี้
     
ส่วนที่เจเนอราลีฟ    "คอร์ท ออฟ เดอะ คานาล" (Court of the Canal) เป็นพื้นที่เปิดโล่งหลักของสถานที่แห่งนี้
        โดยใช้คลองเป็นแกนวางตามความยาวของพื้นที่แทนการใช้คลองแบ่งพื้นที่เป็นสี่ส่วน    และใน
        "คอร์ท ออฟ เดอะ ไซเปรส" (Court of the Cypress)    เปลี่ยนไปใช้คลองรูปตัวยู (U) แล้วปลูกพืชชนิดที่ออกดอกในเดือนมิถุนายน
        ซึ่งเป็นช่วงที่ราชวงศ์จะมาพักผ่อน ณ ที่แห่งนี้    ทำให้ได้บรรยากาศที่สวยงาม มีชีวิตชีวา

เปอร์เซียและสวนอิสลาม

ยุคเฟื่องฟูของสวนเปอร์เซียอยู่ในช่วง 600-400 ก่อนคริสตกาลโดยมีรูปแบบเฉพาะตัวและเต็มไปด้วยเสน่ห์จนกลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับการสร้างสวนของชนชาติอื่นๆต่อมา สิ่งที่ยืนยันความงามของสวนเปอร์เซียเห็นจะได้แก่คำว่า "สวรรค์" ในหลายๆภาษามีรากศัพท์มาจากคำว่า Pairidaeza ซึ่งเป็นคำที่ชาวเปอร์เซียใช้เรียก "สวน" ตัวอย่างเช่นคำว่า Paradise ในภาษาอังกฤษ Paradis ภาษาฝรั่งเศส Paradisus ภาษาละตินและ Paradisos ในภาษากรีก เป็นต้น
ลักษณะพื้นฐานของสวนเปอร์เซีย ถูกสร้างให้เป็นแบบจำลองของระบบจักรวาล (Cosmos) ตามความเชื่อเก่าแก่ สวนมีรูปร่างเป็นสี่เหลี่ยมและถูกแบ่งออกเป็นสี่ส่วนด้วยสายน้ำซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของแม่น้ำแห่งสวรรค์ ตรงกลางซึ่งเป็นจุดตัดของสายน้ำเป็นที่ตั้งของน้ำพุแห่งชีวิต ชาวเปอร์เซียให้ความสำคัญกับบรรยากาศและความมีชีวิตชีวาในสวนเป็นอันมาก เน้นการสร้างร่มเงาจากไม้นานาพรรณ เติมสีสันและกลิ่นหอมด้วยผลไม้ ดอกไม้ เช่น ส้ม ทับทิม และกุหลาบ รวมถึงความสง่างามของปาล์มชนิดต่างๆ เสียงของน้ำที่ไหลรินๆและนกน้อยในกรง ผสานกับปลาหลากสีที่ว่ายวนไปมาล้วนแต่เป็นองค์ประกอบที่ทำให้สวนกลายเป็นสวรรค์บนดินที่เต็มไปด้วยความอุดมสมบูรณ์ เปี่ยมไปด้วยความงามทั้งรูป รส กลิ่น และเสียงในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 7 กลุ่มชาวอาหรับผู้ใช้ชีวิตรอนแรมอยู่ในทะเลทรายเพื่อเผยแผ่ศาสนาอิสลามเดินทางมาถึงอาณาจักรเปอร์เซีย และพบว่าสวนเปอร์เซียนี้ช่างตรงกับลักษณะของสวรรค์ที่บรรยายไว้ในคัมภีร์โกราน (Koran)"สถานที่ที่เต็มไปด้วยร่มเงาอันอุดมไปด้วยผลไม้ ทับทิม และปาล์มนานาชนิด พร้อมกับน้ำพุที่ไหลริน"ผนวกกับภาพสวนที่แสนจะน่าอภิรมย์ราวสรวงสวรรค์ ซึ่งแตกต่างโดยสิ้นเชิงกับทะเลทรายอันแห้งแล้งและร้อนระอุ ทำให้ชาวอิสลามรับรูปแบบสวนเปอร์เซียเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรม ไม่ว่าจะเป็นสวนในบ้าน ในวัง หรือในสุเหร่า จะคงลักษณะพื้นฐานเดียวกันไว้คือ สวนรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่ถูกล้อมไว้ด้วยอาคารหรือกำแพง แบ่งพื้นที่เป็นสี่ส่วนเรียกว่า "ชาฮา-บัก" (Chahar Bagh) ตรงกลางเป็นที่ตั้งของน้ำพุหรือบ่อน้ำ สวนอิสลามเน้นความสำคัญของ "น้ำ"
ของขวัญจากสวรรค์ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของสิ่งมีชีวิต
ในคริสต์ศตวรรษที่ 8 สวนกลายเป็นองค์ประกอบที่ฝังรากลึก ลงในวัฒนธรรมอิสลาม และแผ่อิทธิพลขยายเข้าสู่สวนในเอเชีย แอฟริกา และยุโรป พร้อมๆไปกับการเดินทางเผยแผ่ศาสนา ของสาวกแห่งท่านศาสดาโมฮัมเม็ด

สวนโรมัน

ในยุครุ่งเรืองชาวโรมันพัฒนางานศิลปะและวิทยาการต่างๆไปมาก รวมถึงความรู้ทางพฤกษศาสตร์ การก่อสร้างและการชลประทานซึ่งมีผลเป็นอย่างมากต่อพัฒนาการของสวน เราแบ่งสวนโรมันได้เป็นสองแบบใหญ่ๆคือสวนในเมือง และสวนนอกเมือง สำหรับสวนในเมือง มีหลักฐานที่ชัดเจนจากการขุดค้นเมืองปอมเปอิ (Pompeii)ซึ่งถูกภูเขาไฟวิสุเวียส (Vesuvius) ถมทับไว้ พบว่าบ้านจะปิดล้อมด้วยกำแพง มีการเปิดหน้าต่างออกสู่ถนนน้อยมากเพื่อสร้างความเป็นส่วนตัวภายใน ในบ้านจะมีพื้นที่เปิดโล่งสำหรับสวน โดยมีทางเดินซึ่งมีแนวเสาขึ้นมารับหลังคาล้อมรอบเรียกสวนลักษณะนี้ว่า "เพอริสไตล์" (Peristyle garden) พื้นที่สวนจึงกลายเป็นส่วนที่ช่วยเปิดให้แสงสว่างเข้ามาถึงภายในอาคาร
และช่วยในเรื่องการถ่ายเทอากาศ สวนถูกจัดในลักษณะเป็นทางการ (Formal garden) คือมีแนวแกนสมมาตรแบ่งพื้นที่สวนออกเป็นสองส่วนเท่าๆกัน มักจะมีบ่อน้ำรูปทรงเรขาคณิตและรูปปั้นวางประดับ รวมถึงไม้ตัดแต่ง (Topiary) ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของสวนโรมัน ลักษณะที่น่าสนใจอีกประการหนึ่งคือการวาดภาพสวนหรือทิวทัศน์ไว้บนผนังด้านในสุดของสวนเพื่อลวงตา
ให้สวนดูกว้างกว่าที่เป็นจริง

เมื่อในเมืองมีความแออัดมาก และเกิดโรคระบาดเป็นประจำ กลุ่มชนชั้นสูงจึงนิยมออกไปสร้างบ้านพักตากอากาศนอกเมืองหรือที่เรียกว่า "วิลล่า" (Villa) วิลล่ายุคแรกๆเน้นการออกไปใช้ชีวิตอยู่ในฟาร์มหรือแปลงเกษตร ต่อมารูปแบบค่อยๆพัฒนาโดยเพิ่มเติมความสะดวกสบายอย่างชีวิตคนเมืองเข้าไปมากขึ้น และให้ความสำคัญกับความหรูหรา สวยงามเพื่อให้วิลล่าเป็นหน้าเป็นตาแสดงฐานะและรสนิยมของผู้เป็นเจ้าของ ที่ตั้งของวิลล่าจะอยู่ไม่ไกลจากเมืองสามารถเดินทางได้สะดวกมีทิวทัศน์สวยงามเพื่อช่วยในการฟื้นฟูสภาพร่างกายและจิตใจที่เหนื่อยอ่อนและตึงเครียด รวมทั้งช่วยให้เกิดแรงบันดาลใจ
และความคิดสร้างสรรค์ สวนในวิลล่ายังคงความเป็นทางการซึ่งเป็นลักษณะเด่นของสวนโรมันไว้ องค์ประกอบต่างๆเน้นการใช้รูปทรงเรขาคณิตแสดงถึงอำนาจของมนุษย์ในการควบคุมสภาพแวดล้อม มีการประดับตกแต่งด้วยไม้ดอกนานาชนิดซึ่งรวมถึงไม้ดอกหอม และไม้จากต่างแดน งานประติมากรรมต่างๆและไม้ตัดแต่งก็ยังคงเป็นองค์ประกอบสำคัญที่หายไปไม่ได้ อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าวิลล่าจะตั้งอยู่ในสถานที่ที่มีธรรมชาติสวยงาม แต่วิลล่าหลายแห่งก็ยังคงสร้างสวนที่มีอาคารล้อมรอบแบบสวนในเมือง
วิลล่าของจักรพรรดิเฮเดรียน (Hadrain) ในเมืองทิโวลี (Tivoli) แสดงให้เห็นว่ามีการปรับเปลี่ยนสภาพพื้นที่เป็นอย่างมาก สวนจะมีแนวแกนย่อยๆหลายแนวไม่เกี่ยวข้องกัน มีการตกแต่งด้วยงานศิลปะและพืชพรรณอันหลากหลาย ซึ่งรวมถึงของสะสมที่ได้มาจากดินแดนอื่นๆ แสดงถึงอำนาจของผู้เป็นเจ้าของได้เป็นอย่างดี ใช้งานประติมากรรมร่วมกับน้ำในรูปแบบต่างๆเช่น น้ำพุ คลอง สระน้ำ ฯลฯ เพื่อให้เกิดความหรูหราและบรรยากาศพิเศษยิ่งใหญ่เหนือกว่าสวนอื่นๆ
วิลล่าของจักรพรรดิเฮเดรียน

สวนอียิปต์

อียิปต์เป็นอารยธรรมที่เจริญควบคู่มากับเมโสโปเตเมีย หลักฐานเกี่ยวกับรูปแบบของสวนอียิปต์ได้มาจากภาพเขียนฝาผนังและโมเดลในสุสานสวนในบ้านของชาวอียิปต์ใช่เพียงแค่สร้างขึ้นมาเพื่อความสวยงามเท่านั้น แต่สามารถนำผลผลิตมาใช้ประโยชน์ในครัวเรือนได้อีกด้วยเรียกสวนแบบนี้ว่าสวนที่มีประโยชน์ใช้สอย (Utilitarian Garden) ตัวอย่างของผลผลิตจากสวนในบ้าน เช่น องุ่น อินทผลัม ผักผลไม้อื่นๆ และกกปาปิรุส เป็นต้นจากภาพเขียนในสุสานหลายแห่งแสดงให้เห็นรูปแบบสวนที่คล้ายคลึงกันคือ สวนจะเป็นพื้นที่ต่อเนื่องออกมาจากตัวอาคารมีการล้อมรอบพื้นที่ทั้งหมดด้วยกำแพงเพื่อความปลอดภัย ป้องกัน ลม ฝุ่นทราย และน้ำท่วมซึ่งจะล้นฝั่งแม่น้ำไนล์ปีละครั้งรวมถึงใช้เพื่อแสดงอาณาเขต ต้นไม้หลากชนิดถูกปลูกเพื่อสร้างร่มเงาให้กับบ้านโดยปลูกเป็นแถวอย่างมีระเบียบ บ่อน้ำรูปสี่เหลี่ยม
เป็นส่วนประกอบสำคัญของสวน ในบ่อมีการเลี้ยงสัตว์ เช่น ปลา เป็ด และปลูกพืชน้ำ ช่วยให้บ้านดูน่าอยู่ ชุ่มชื้น แสดงออกถึงความอุดมสมบูรณ์ แตกต่างจากพื้นที่ภายนอกที่ส่วนใหญ่เป็นทะเลทราย ความเป็นระเบียบและการเลือกใช้รูปทรงเรขาคณิตในสวนสะท้อนให้เห็นสภาพสังคมที่มีระบบระเบียบได้อย่างชัดเจน

สวนเมโสโปเตเมีย

จากหลักฐานและบันทึกทางประวัติศาสตร์ พื้นที่แถบลุ่มแม่น้ำไทกริสและยูเฟรติส ซึ่งเป็นที่ตั้งของดินแดนแห่งอารยธรรมเมโสโปเตเมียในเอเชียตะวันออกกลาง เป็นหนึ่งในแหล่งอารยธรรมรุ่นแรกๆที่เริ่มพัฒนารูปแบบการสร้างสวนที่เน้นความสวยงาม (Garden)เพื่อสร้างความรื่นรมย์ โดยเมื่อประมาณ 3,000 ปีก่อนคริสตกาล กษัตริย์กิลกาเมช (Gilgamesh) ชาวสุเมเรียนได้สร้างต้นแบบของสวนที่เต็มไปด้วยร่มไม้ และดอกไม้นานาพรรณในพระราชวังเพื่อใช้เป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงรื่นเริงและพิธีการงานเฉลิมฉลองต่างๆแต่สวนที่โด่งดังที่สุดแห่งยุคเห็นจะหนีไม่พ้น "สวนลอยแห่งบาบิโลน" สร้างขึ้นในช่วงประมาณ 600 ปีก่อนคริสตกาลสวนแห่งนี้ถูกสร้างเป็นชั้นๆสูงลอยขึ้นไปเหนือระดับพื้นที่ราบโดยรอบ มีบรรยากาศร่มรื่น และเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวาจากสีสันและความหลากหลายของพืชพรรณ เมื่อมองจากระยะไกลจะเห็นต้นไม้ ดอกไม้ ลอยสูงเด่นอยู่เหนือดินราวสรวงสวรรค์ ความสวยงามและความยิ่งใหญ่ตระการตาของสวนแห่งนี้ถูกเล่าขานและอ้างถึงในบทกวีสมัยต่อๆมาอีกนับพันปี

วันพฤหัสบดีที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2554

วิธีการจัดสวนหิน

http://www.novabizz.com/CDC/Garden/Garden_Style_Rock.htmใครที่กำลังอยากออกแบบสวนหิน วันนี้ มีวิธีการจัดสวนหินแบบง่ายๆมาฝาก …

สวนหิน เป็นสวนที่ใช้หิน และกรวดเป็นองค์ประกอบหลักในการจัด โดยเลือกใช้ความหลากหลายจาก ลักษณะและชนิดของหิน ที่แตกต่างกันทั้งสี รูปร่าง และผิวสัมผัส จากนั้น ก็นำต้นไม้ มาปลูกประกอบให้มีความสัมพันธ์และกลมกลืนกับหินที่จัดวาง เริ่มจาก
-จัดเตรียมพื้นราบ ในจัดวางหิน จากนั้นนำหินก้อนใหญ่มาวางเรียงไล่ระดับ เพื่อสร้างความโดดเด่นให้กับพรรณไม้
-โรยกรวดล้อมรอบ ให้เป็นลวดลายคล้ายสายน้ำและคลื่น
-พรรณไม้ที่เลือกต้องเป็นประเภทที่มีความทนทานต่อสภาพดินฟ้าอากาศ เช่น กระบองเพชร  กระดุมแสด กระดุมทองเลื้อย เฟิร์น แอหนัง กุหลาบ ผกากรอง
เพียงเท่านี้ คุณก็จะได้สวนหินสวยๆไว้ประดับบ้าน …

"สวน" กับดุลยภาพแห่งพลังชีวิต "ฮวยจุ้ย" กับทิศหน้าบ้าน


ศาสตร์แห่งฮวงจุ้ยมีความเชื่อว่า ในการสร้างให้เกิดดุลยภาพแห่งพลังชีวิตที่ดี "พลังชี่" หรือพลังชีวิตจะต้องไหลเวียนได้ อย่างราบรื่นไม่ติดขัด
หากพลังชี่ไม่สามารถไหลเวียนได้สะดวก หรือถูกปิดกั้นไว้จะทำให้พลังชีวิตของสถานที่นั้นอ่อนแอหรือหยุดนิ่ง แต่หากพลังชี่ไหลเวียนได้สะดวกไม่ติดขัด จะส่งผลดีต่อผู้อยู่อาศัยในเรื่องของความมั่งคั่ง ชื่อเสียง การอุปถัมภ์ค้ำชู อาชีพการงาน และสุขภาพ
นับแต่โบราณมานักฮวงจุ้ยต่างพยายามสังเกตและศึกษาธรรมชาติเพื่อหาตำแหน่งที่โดดเด่นสำหรับบ้านและสวน และตำแหน่งในอุดมคติที่เชื่อกันว่าดีที่สุดนั้นก็คือ จุดกึ่งกลางของเนินเขาเตี้ยๆ ไม่สูงชัน ไม่เป็นคลื่นขรุขระ ซึ่งจะทำให้บ้านและสวนได้รับความสมดุลระหว่างพลังของฟ้าและดิน โดยหันหน้าไปทางแม่น้ำที่ไหลทอดตัวเป็นแนวคดโค้งไปมาสวยงามนุ่มนวล
เพราะ "พลังชี่" จะไหลเวียนได้ดีเป็นพิเศษในแนวเส้นที่โค้งไปมาสวยงาม ส่วนด้านหลังจะต้องมีภูเขาขนาดใหญ่มาเป็นฉากหลัง มองดูจะคล้ายคนนั่งพักผ่อนสบายๆ ในเก้าอี้อาร์มแชร์ และมีที่วางเท้ารองรับอยู่ที่ปลายเท้านั่นเอง
ภูเขาที่อยู่ฉากหลัง ก็เหมือนพนักเก้าอี้ที่โอบอุ้มตัวเราไว้อย่างสบายและมั่นคง หมายถึงพลังในด้านการอุปถัมภ์และสนับสนุน ซึ่งในศาสตร์ของ ฮวงจุ้ย เรียกว่า
ทิศเต่าดำ จะอยู่ในทิศเหนือและเป็นพลังแห่งฤดูหนาว
ทิศตะวันตก จะเป็นทิศเสือขาว เป็นพลังแห่งฤดูใบไม้ร่วง ซึ่งเป็นฤดูแห่งการเก็บเกี่ยว
ส่วนทิศตะวันออกเป็นทิศมังกรเขียว เป็นพลังแห่งฤดูใบไม้ผลิ
ส่วนทิศใต้ซึ่งเป็นทิศของส่วนหน้าบ้านจะเป็นทิศหงส์แดง
การหาตำแหน่งของทิศทั้งสี่นี้ บางครั้งอาจไม่ได้ขึ้นตามทิศของเข็มทิศ ในโรงเรียนฮวงจุ้ยที่เน้นเรื่องภูมิทัศน์ จะใช้วิธีให้คุณยืนโดยให้หลังของคุณอยู่ด้านหน้าตัวอาคาร และมองไปในทิศที่ตัวอาคารเผชิญหน้า เต่าดำจะอยู่ทิศด้านหลังของอาคารหงส์แดงจะอยู่ด้านหน้า มังกรเขียวจะอยู่ทางซ้าย และเสือขาวจะอยู่ทางขวามือของคุณ
จัดฮวงจุ้ยที่ดีให้สวนในบ้าน
ที่เกริ่นมาข้างต้นนั้น เป็นเรื่องของฮวงจุ้ยในอุดมคติที่คงยากจะหาได้ในโลกยุคดิจิทัล แต่เราสามารถจัดสวนที่บ้านของเราเองให้มีลักษณะฮวงจุ้ยที่ดีเช่นที่กล่าวมาได้ไม่ยาก เช่น ทำทางเดินในสวนให้ทอดตัวเลี้ยวคดโค้งไปมาสวยงาม ปรับพื้นที่สวนให้มีความโค้งกลมเล่นระดับพื้นที่สวนในบางส่วนเพื่อให้ดูเป็นเนินสูงต่ำ
น้ำเป็นองค์ประกอบสำคัญของสวน ในความเชื่อของฮวงจุ้ย สวนทุกสวนควรจะมีบ่อน้ำหรือน้ำพุในสวน ที่สำคัญคือ ให้น้ำมีการเคลื่อนไหวที่สม่ำเสมอนุ่มนวล ไม่ควรเป็นน้ำนิ่งๆ
บริเวณไหนของสวนที่พลังชี่ถูกปิดกั้นให้ติดขัดหรือไม่สามารถไหลเวียนได้ คุณจะสังเกตเห็นว่า ส่วนนั้นจะมีลักษณะรกร้าง ต้นไม้ขึ้นในลักษณะรกรุงรัง หรือแห้งตายเป็นบางส่วน สัญลักษณ์ของพลังที่หยุดนิ่ง อย่างเช่น ต้นไม้ที่แห้งตาย ควรจะขุดถอนออกไปจากสวนเพราะมันจะดึงดูดพลังที่ไม่ดีเข้ามาในบ้าน และจะทำให้การไหลเวียนของพลังชีวิตติดขัดได้

นอกจากนั้น คุณยังสามารถใช้เทคนิคการจัดสวน เพื่อปรับแก้ฮวงจุ้ยให้มีพลังที่ดีและปิดกั้นพลังที่ไม่ดีออกไปได้ เช่น ทำรั้วต้นไม้เตี้ยๆ หรือพุ่มไม้ หรือสระน้ำ กั้นระหว่างตัวบ้านหรือสวนของคุณกับสิ่งที่ให้พลังไม่ดี เช่น เสาไฟ เสาธง หรือถนนที่พุ่งเข้าสู่ตัวบ้าน เป็นต้น
สวนหน้าบ้าน
จุดแรกของการจัดสวนให้เน้นไปที่สวนหน้าบ้าน เพราะเป็นพื้นที่ส่วนแรกของบ้านที่จะได้รับพลังที่ดีจากบริเวณรอบๆ เป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องให้ "พลังชี่" ไหลเวียนไปมาภายในส่วนนี้ของบ้านให้มากสักหน่อย จึงควรหลีกเลี่ยงการทำทางเดินหรือถนนเข้าบ้านที่เป็นเส้นตรงๆ แต่ควรให้เป็นแนวคดโค้งไปมาเล็กน้อย

ถ้าหากบ้านของคุณมีทางเดินที่เป็นเส้นตรงอยู่ อาจแก้ไขได้โดยการปลูกไม้พุ่มหรือไม้คลุมดินให้พุ่มใบล้ำเข้ามาในพื้นส่วนที่เป็นทางเดินเพื่อลดความเป็นเส้นตรง แต่ต้องเลือกพืชที่มีระบบรากตื้น เพื่อที่รากจะได้ไม่ไปชอนไชให้พื้นเกิดรอยแตกร้าวได้
ตามหลักฮวงจุ้ยเชื่อกันว่า
สวนหน้าบ้านควรหันไปทางทิศใต้ ซึ่งจะดึงดูดพลังหยางหรือพลังที่ให้โชค แต่แม้ว่าสวนหน้าบ้าน ของคุณจะไม่ได้หันไปทางทิศใต้ คุณก็สามารถดึงดูดพลังหยางเข้ามาสู่ภายในสวนของคุณได้โดยวางรูปปั้นหงส์ไว้เพื่อดึงพลังหยาง
ถ้าสวนหน้าบ้านของคุณหันไปทางทิศตะวันตก พยายามจัดพื้นที่ส่วนนี้ของคุณให้นิ่งและสงบเงียบให้มากที่สุด ปลูกต้นไม้ที่โตช้า
สวนที่หันหน้าไปทางทิศเหนือจะดึงดูดพลังที่ส่งเสริมเรื่องอาชีพการงาน การจัดสวนที่ช่วยเสริมพลังในเรื่องนี้คือ ให้มีบ่อน้ำหรือสิ่งประดับสวนที่มีน้ำเป็นองค์ประกอบไว้ในบริเวณที่มองเห็นจากประตูด้านหน้า
สวนที่หันหน้าไปทางทิศตะวันออกจะดึงดูดพลังที่อุปถัมภ์ในเรื่องครอบครัว ให้ปลูกต้นไผ่เพื่อเสริมพลังด้านนี้ให้เด่นขึ้น


การจัดสวนเสริมฮวงจุ้ย

ตำแหน่งสวนควรอยู่ทางทิศตะวันออก
      การกำหนดพื้นที่สำหรับจัดสวนภายในบริเวณบ้านถือเป็นสิ่งแรกที่จะต้องพิจารณา การที่ตำราระบุว่า สวนควรอยู่ทางทิศตะวันออก ก็ด้วยเหตุผลที่ว่าทิศตะวันออกเป็นทิศที่พระอาทิตย์ขึ้น แสงแดดในยามเช้า จะช่วยส่งเสริมต้นไม้ให้มีความงอกงามและเขียวสดเพราะเป็นแสงที่ไม่แรงจนเกินไป
สวนต้องครบองค์ประกอบของธาตุทั้ง 5 คือ น้ำ ไม้ ไฟ ดินและทอง
      สวนที่ดีจะต้องประกอบไปด้วย ต้นไม้ (ธาตุไม้) น้ำตก น้ำพุ อ่างบัว บ่อปลา (ธาตุน้ำ) แสงแดดส่องถึง (ธาตุไฟ) มีดินที่สมบูรณ์ (ธาตุดิน)และที่สำคัญจะต้องมีการตกแต่งสวนอย่างสวยงาม (ธาตุทอง) ไม่ใช่ปล่อยให้รกรุงรัง กลายเป็นป่ามากกว่าสวน
น้ำตกในสวนจะต้องหันหน้าน้ำตกเข้าบ้านเสมอ
      การตกแต่งสวนโดยมีน้ำเข้ามาเกี่ยวข้องในทางฮวงจุ้ยบอกเอาไว้ว่าจะต้องระวังเป็นพิเศษ โดยเฉพาะกรณีของน้ำตก ที่มีการไหลของน้ำไม่เหมือนอย่างอื่น "หน้าน้ำตกจะต้องหันเข้าบ้าน ห้ามหันออกนอกบ้าน" เพราะการหันออกนอกบ้านจะหมายถึง การเงินไหลออก เพราะน้ำแทนความหมายของโชคลาภการเงินนั่นเอง นี่เป็นกฎเกณฑ์ที่จะต้องจำไว้ในการแต่งสวน

บ่อน้ำ สระน้ำ รูปทรงต้องไม่ร้าย
      การขุดบ่อน้ำหรือสระน้ำในสวนนั้นสิ่งที่จะต้อง คำนึงถึงก็จะเป็นเรื่องของรูปทรงของสระนั้น ในทางฮวงจุ้ย จะให้ใช้รูปทรงที่ไม่ทำร้ายคนในบ้านเช่น รูปทรงที่เป็นเหลี่ยม รูปทรงขนมเปียกปูน สามเหลี่ยม เป็นต้น ควรใช้รูปทรงโค้งมนหรือวงกลม จะถือว่าดีที่สุด
ก้อนหิน วางผิดเป็นอุปสรรคใหญ่หลวง
      หิน มาตกแต่งสวนต้องระวังให้มาก โดยเฉพาะก้อนหินใหญ่เพราะในทางฮวงจุ้ย "ก้อนหิน" จะหมายถึงอุปสรรค การเลือกก้อนหินในการแต่งสวนจะต้องเลือกก้อนที่มีลักษณะกลมมน ห้ามเป็นเหลี่ยมคม หรือมีมุมแหลมก้อนหินที่มีรูก็เป็นลักษณะต้องห้ามเช่นกัน ตำแหน่งในการวางส่วนใหญ่จะวางบริเวณมุมบ้าน ห้ามวางไว้หน้าบ้านหรือบริเวณที่ตรงกับประตูบ้าน
บ้านเล็ก ห้ามปลูกต้นไม้ใหญ่
      บ้านที่มีขนาดเล็กมีพื้นที่จำกัดในการจัดสวนอย่างบ้านทาวน์เฮ้าส์ ห้ามเอาต้นไม้ใหญ่มาปลูก เพราะจะก่อผลเสียมากกว่าผลดี สิ่งที่มองเห็นได้ชัด ก็คือ ต้นไม้ใหญ่จะทำลายฐานบ้านและกิ่งก้านของต้นไม้ยังทำลายตัวบ้านอีกด้วย บ้านขนาดเล็กอย่างทาวน์เฮ้าส์ไม่ควรปลูก ต้นไม่ใหญ่ในบ้าน
หลีกเลี่ยงไม้หนามในการแต่งสวน
      เรื่องต้นไม้ที่มีหนามแหลมในทางฮวงจุ้ยจะถือว่าเป็นข้อห้ามอยู่แล้ว เพราะหนามที่แหลมคมจะส่ง
ผลกระทบต่อคนในบ้านได้ แต่บางคนอาจจะสงสัยว่าต้นไม้อย่าง เฟื่องฟ้า โป๊ยเซียน ที่คนนิยม นำมาปลูกในบ้านทำไมถึงไม่ห้าม ความจริงแล้วไม้หนามอย่างเฟื่องฟ้าหรือโป๊ยเซียน ก็เข้าข่ายเป็นต้นไม้ต้องห้ามเหมือนกัน เพราะมีหนามแหลม เพียงแต่ว่า ชื่อของต้นไม้เป็นมงคลเท่านั้น และต้นเฟื่องฟ้าส่วนใหญ่ จะนิยมปลูก ริมรั้ว หรือ กำแพง ซึ่งกลับเป็นผลดีในแง่ของการป้องกันสิ่งไม่ดีเข้าบ้านเหตุผลที่ตำราห้ามเอาไว้อย่างนั้น ก็เพราะหนามแหลมของต้นไม้ อาจจะเกี่ยวคนเดินผ่านไปมาในบ้านได้ โดยเฉพาะบ้านที่มีเด็กเล็กๆ นอกจากนี้ เวลาต้นไม้เติบโตเป็น ต้นไม้ใหญ่ จะเคลื่อนย้าย หรือตัดกิ่งของต้นไม้ค่อนข้างจะยากที่จะไม่โดนหนามเกี่ยว

ขั้นตอนการจัดสวน


หลังจากได้ออกแบบสวน ประเมินราคา และตกลงกับเจ้าของสถานที่เรียบร้อยแล้ว นักจัดสวนต้องวางแผนและเตรียมงานเป็นขั้นต่อไป เพื่อกะระยะให้สวนเสร็จตามวัน และ เวลาที่ต้องการจากการจัดสวนโดยทั่วไปจะพบว่า มีลำดับการทำงานเป็นขั้น ๆ เพื่อความสะดวกในการทำงานและมีผลให้งานแต่ละส่วนได้ผลดี ทั้งง่ายต่อการเบิกเงินแต่ละงวดของเจ้าของบ้าน เมื่อการจัดสวนได้ถึงขั้นตอนที่กำหนดไว้
       


         1)การเลือกซื้อพรรณไม้  (Getting plant) เป็นการสำรวจและหาแหล่งพรรณไม้ที่มีในแบบตามแหล่งต่าง ๆ ของร้านขายพรรณไม้ภายในเมืองนั้น โดยพยายามหาทั้งชนิดของต้นไม้, ขนาด, รูปทรง และราคาให้เป็นไปตามแบบที่เสนอต่อเจ้าของบ้าน
        2)การปรับที่อาจเริ่มจากการปรับหน้าดินให้เรียบตามระดับที่ต้องการ ซึ่งต้องใช้จอบย่อยดินให้ละเอียด และนำดินมาถมตามจุดที่ต่ำไปหรือถากดินออกบริเวณที่หน้าดินสูงเกินไป ช่วงใดที่ต้องการให้
เป็นเนินก็เอาปูนขาวโรย แสดงขอบเขตของเนินนั้น ๆ (ดูจากแปลน) และทยอยเอาดินมาถมในบริเวณปูนขาวให้สูงตามที่ต้องการ
        3)การขุดหลุมปลูกไม้พุ่มควรขุดลึกประมาณ 0.4 – 0.5 m ถ้าไม้พุ่มอยู่ติดกันหลายต้นควรขุดต่อกันเป็นแปลงตามรูปร่างของตำแหน่งที่จะปลูก แล้วผสมดินใส่ปุ๋ยและปูนขาวตามสูตรหลังจากนั้นก็
ขุดหลุมปลูกไม้คลุมดินควรขุดลึกเพียง  0.25 – 0.3  m ก็พอ ดินปลูกก็ดูตามชนิดของต้นไม้ด้วย ไม้คลุมดินที่นิยมปลูกทั่วไป คาดตะกั่ว, หัวใจม่วง, ก้ามปูหลุด, มหากาษ, โป๊ยเซียนแคระ ฯลฯ
        4)การกำจัดวัชพืช (Weed Control) ในระยะที่ทำการขุดหลุมเพื่อเตรียมปลูกต้นไม้นั้นหรือหลังจากปรับที่ประมาณ 1 – 2 อาทิตย์ วัชพืชก็จะงอกขึ้นมาภายหลังก็ควรกำจัดวัชพืชบริเวณนั้นออกให้ได้
มากที่สุด ถ้ามีมากควรใช้ยากำจัดวัชพืชฉีด แต่ถ้าฉีดก็ควรทิ้งไว้นานพอสมควร (ตามฉลากยา) จึงปลูกหญ้าได้การกำจัดวัชพืชก็ควรมีเรื่อย ๆ แม้ว่าจะปลูกหญ้าไปแล้วก็ตามก็ควรจะขุดวัชพืชทิ้งเมื่อ
เกิดขึ้นมาอีก
        5)การวางก้อนหิน  (Setting Stones) ก้อนหินมีรูปทรงต่าง ๆ ตามธรรมชาติโดยไม่ได้ถูกตัดเพื่อแสดงให้เห็นถึงลักษณะธรรมชาติของหินที่เปลี่ยแปลงไปโดยภูมิอากาศต่าง ๆ ซึ่งแต่ละแบบจะบอก
ถึงบรรยากาศของถิ่นที่มาของหินนั้น ๆ เช่น หินอาจเรียบหรือขรุขระ เนื่องจากลมและพายุ จากแม่น้ำ มหาสมุทร สีจะแสดงถึงความมั่นคงสงบนิ่ง หินที่มีรูปร่างกลม, หรือหินที่ขัดถูแล้วจะไม่นิยมใช้ใน
การจัดสวน เพราะจุทำให้ดูไม่เป็นธรรมชาติ สีที่นิยมคือสีน้ำตาล, แดง, ม่วง, เขียวปนน้ำเงิน สีขาวไม่นิยมเพราะขาวเกินไปและไม่ประทับใจเมื่อมองดู และควรหลีกเลี่ยงการใช้สีก้อนหินที่ติดกัน
        6)การปลูกไม้ยืนต้น ไม้พุ่ม และไม้คลุมดิน  (Planting) เมื่อได้เตรียมหลุมและเตรียมดินในหลุมเรียบร้อยแล้วก็เตรียมปลูกต้นไม้มาจากแหล่งชื้อต่าง ควรปลูกไม้ใหญ่ก่อน โดยนำต้นไม้ไปใกล้ปากหลุม ถอดกระถางออกหรือทุบกระถางให้แตกเพื่อกันการ
กระเทือนของรากโกยดินออกจากหลุมให้ลึกเท่ากับความสูงของกระถางวางต้นไม้ไว้ในหลุม กลบดินให้แน่นให้โคนต้นไม้เสมอปากหลุมรอบ ๆ โดยต้นไม้ควรทำเป็นแอ่งรับน้ำไว้ เพื่อให้ต้นไม้ได้รับมากที่สุด เมื่อปลูกแล้วควรค้ำโดยไม้ไผ่, ไม้สน ใช้ไม้ประมาณ 3 อัน โดยจับต้นไม้ให้ตรงแทงกิ่งไผ่ลงในดิน ค้ำเป็นสามเหลี่ยมมัดด้วยเชือกให้แน่นทั้งนี้เพื่อการกันโยกของต้นเทื่อลมพัดเพราะการ
โยกของต้นจะทำให้รากกระเทือนหรือขาดได้
        
การปลูกไม้พุ่มในแปลงใหญ่ที่เตรียมไว้ การเว้นระยะที่พอเหมาะพอการเจริญเติบโตของไม้พุ่มชนิดนั้น ๆ ด้วย ถ้าต้นไม้อยู่ในตำแหน่งที่ลมพัดแรงก็จะทำให้ทุกต้นและควรรอจนไม้เหล่านั้นตั้งตัวได้
จนแตกใบใหม่ออกมาจึงเริ่มตัดแต่งที่รงพุ่มให้เป็นตามที่ต้องการ
         การปลูกไม้คลุมง่ายต่อการถอดกระถางออก เพราะเป็นกระถางเล็กจะลงไม้คลุมดินส่วนใหญ่ค่อนข้างทนทาน เมื่อถอดกระถอดอย่างลือเอาเศษกระดาษที่รองใต้กระถางออกด้วยถ้าภายในกระถางมี
หลายต้นก็แยกออกปลูกได้จะได้ประหยัดต้นไม้อีกเพราะไม้คลุมดินเติบโตได้เร็วและต้องตัดแต่งอยู่เสมอเพื่อไม่ให้หนาแน่นไป
         7)การปูหญ้า  (LAWN Installation)ก่อนที่จะปลูกหญ้า ควรจะปรับที่ให้เรียบ เพราะหน้าดินอาจจะถูกซะเป็นร่องหรืออาจเป็นหลุม ควรปรับให้เรียบ โดยใช้ดินถมหลุมอัดให้แน่นดูการระบายน้ำเมื่อฝน
ตก หรือเมื่อรดน้ำเพื่อปรับระดับ ก่อนปลูกหญ้า   เมื่อปรับระดับเรียบร้อยแล้วก็ควรสั่งทรายและหญ้า ปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยเทศบาล โดยกะจำนวนให้ถูกต้อง หญ้าควรเลือกชนิดให้ถูกต้องต่อสภาพของแสง เช่น ในร่มใช้หญ้ามาเลเซีย, แดดจัดใช้หญ้านวลน้อย, ญี่ปุ่น เบอร์มิวด้า ควรคำนวณว่าอย่างละกี่ตารางเผื่อขาดเหลืออีก  10 – 20  m  ควรสั่ง
หญ้ามาส่งภายในวันที่จะปลูก ถ้าปูหญ้าหลายวันควรทยอยส่ง จะไม่ทำให้หญ้าเหลือง
          8)การปูทางเท้า  (Laying pavements)  ควรปูทางเท้าหลังจากที่ได้ปูหญ้าเรียบร้อยแล้ว ก็กำหนดแนวทางเท้าบนสนามหญ้าให้ถูกต้อง อาจจะใช้ปูนขาวโรยเป็นแนวทางตามแบบ
        เลือกวัสดุที่ทำเป็นทางเท้า ซึ่งมีหลายเหลี่ยมและหลายขนาดโดยทั่วไปมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 40 cm, 30 cm   รูปร่างเป็นสี่เหลี่ยม วงกลมหรือหกเหลี่ยม ส่วนความหนานั้นแล้วแต่ชนิดของวัสดุ
        หินล้าง     :    สะดวกในการใช้ ปลอดภัย สวยพอประมาณ ราคาปานกลาง
        หินกาบ       :   ระวังเรื่อง ความคมของหินกาบ สวยมาก ราคาสูง
        ซีเมนต์อัด   :   เป็นรูปต่าง ๆ ของบริษัทปูนซีเมนต์
        ซีเมนต์     :   แบบเรียบสี่เหลี่ยม ไม่มีสี  ราคาถูก
        ศิลาแลง      :  หนา  10  cm  สวยเหมือนธรรมชาติ แต่เปราะง่าย
         9)  การตัดหญ้า, ให้ปุย, ฉีดยาฆ่าแมลง  (Mowing, Fertilizing and Past Control)
        เมื่อปูหญ้าได้ประมาณ 2 อาทิตย์แล้ว ก็ควรตัดหญ้าที่ปูไว้จะขึ้นไม่เสมอกัน ไม่ควรปล่อยให้หญ้าสูงเกินไป หรือมีดอกเพราะจะทำให้หญ้าเหลืองเมื่อตัดหญ้าออก ควรตัดหญ้าแห้งไม่เปียกน้ำ
แต่โดยประมาณ  12 – 14 วันต่อ  1 ครั้ง โดยตัดออกประมาณ   ส่วน
        ส่วนเครื่องมือที่ใช้ตัดหญ้ามี
         1. กรรไกร  ใช้ตัดแต่งสนามแคบ ๆ
         2. เครื่องตัดหญ้าแบบใบพัดหมุน ใช้ตัดหญ้าได้สูง 1 – 5 นิ้ว
         3. เครื่องตัดหญ้าแบบใบพัด หรือลูกกลิ้ง เมื่อตัดหญ้าเรียบร้อยแล้ว ควรใส่ปุ๋ยสูตร 13 - 13 - 13  สลับกับปุ๋ยยูเรีย

วัตถุประสงค์ของการจัดสวน

วัตถุประสงค์ของการจัดสวน มี 3 ประการ คือ

          1. การจัดสวนในระบบของพืชผล จะต้องสนองตอบต่อ ความต้องการของคน คือ เอาคนเป็นศูนย์กลางจะต้องเน้น และก็เอื้ออำนวย ประโยชน์สูงสุด แก่คน ไม่ว่าจะเป็น ด้านร่างกาย หรืออื่น ๆ
กิจกรรมที่คนกระทำอยู่ เช่น ในสวนจะต้องมีทางเดิน ทางเดินเท้า ทางถนนรถยนต์ ศาลาพัก ม้านั่ง สระว่ายน้ำ
          2. การจัดสวน เพื่อความสวยงาม เน้นที่สุนทรียภาพต่างๆ มุ่งความงามให้เกิด ความสุขทางด้านจิตใจ อารมณ์ การจัดจะหลากหลาย บรรยากาศ มีมุมสงบมีมุมก่อให้เกิด ความประหลาดใจ เป็นการ
มุ่งเน้นให้เกิดคุณค่า มีความลี้ลับ เพื่อให้เกิดความคิด ความสนใจ ความระทึกใจ ความสร้างสรรค์ เช่น การจัดสวน ที่มีมุม น้ำพุ น้ำตก ทางน้ำไหล ไม้ดอกสวยงาม เป็นต้น
          3. การจัดสวนเพื่อการทดลอง การศึกษา ทดลอง ค้นคว้า วิจัย ต่าง ๆ กรณีที่ได้รับ พืชพันธุ์ ใหม่มา วัสดุอุปกรณ์ ที่ใช้ใน การจัดสวน ใหม่ ๆ มา จะเป็น วัสดุอุปกรณ์ ที่มนุษย์ผลิตขึ้น หรือจาก
ธรรมชาติ มาจัดประกอบเข้ากับ รูปแบบของสวนต่าง ๆ

ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับ การออกแบบจัดสวน

 การออกแบบจัดสวน คือการจะทำให้สวนมีความสวยงาม จะต้องมีความรู้พื้นฐานค่อนข้างจะสูงมาก ในเรื่องของการออกแบบ จึงมีความ จำเป็น ต่อการจัดสวนมาก เพราะถือว่าการออกแบบ การเขียนแบบ เป็นจุดเริ่มต้น ของงาน การออกแบบ ที่ดีต้องอาศัยความรู้อยู่ 2 อย่างด้วยกัน 

          1. องค์ประกอบของศิลป์ เป็นศิลปะที่เกิดจาก การผสมผสานของจิตใจ สอดคล้องกับวิถีชีวิต และเพื่ออำนวยประโยชน์สูง ทางด้าน ร่างกาย จิตใจ และอารมณ์ องค์ประกอบของศิลป์ ที่สำคัญได้แก่ สี
ต้องมีความเข้าใจเรื่องของสี เรื่องของเส้น เรื่องของพื้นผิว เรื่องของรูปทรง เรื่องของรูปร่าง เรื่องของช่องว่าง และก็ลวดลาย ซึ่งถือว่าเป็น องค์ประกอบของศิลปะ ผู้ออกแบบจะต้องทำ ความเข้าใจ
          2. หลักในการออกแบบ จะเน้นที่ความสมดุล จะเป็นสมดุลที่แท้จริง สมดุลแบบเชิงล้อเลียนธรรมชาติ อะไรก็แล้วแต่ ช่วงจังหวะทั่ว ๆ ไปที่เราเรียกว่า ลิทึม สำหรับมาตราส่วน ที่เหมาะสมกับพื้นที่ ความเป็นเอกภาพจัดไปแล้ว มีความเป็นหนึ่งเดียว ไม่หลากหลาย หรือสับสนมากเกินไป ความกลมกลืนของกลุ่มวัสดุที่ใช้ เช่น กลุ่มของหิน กลุ่มของพืชพันธุ์ ในระหว่างการสร้างจุดเด่น รวมถึง ความขัดแย้งถ้าเผื่อจำเป็น จะต้องมี

ตัวอย่างสวน

ปฏิทินอ้อม